กินโพรไบโอติกส์ (Probiotics) ยังไงให้ได้ผล?

กินโพรไบโอติกส์ยังไงให้ได้ผล

โพรไบโอติกส์ (Probiotics) กลายเป็นเทรนด์สุขภาพที่ฮิตไปทั่วโลก เพราะ งานวิจัยทางการแพทย์ยืนยัน ว่าช่วย เสริมภูมิคุ้มกัน, ปรับสมดุลลำไส้ และลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง ได้จริง แต่คำถามคือ…
“ต้องกินยังไงถึงได้ผล?” และ “จะเลือกยี่ห้อไหนดี?”
บทความนี้มีคำตอบ พร้อมเคล็ดลับจากหลักฐานวิจัยระดับสากล!


ทำไมโพรไบโอติกส์ถึงสำคัญ?

รู้หรือไม่? ในลำไส้ของเรามี จุลินทรีย์มากกว่า 100 ล้านล้านตัว ที่ช่วยดูแลสุขภาพทั้งร่างกาย หน้าที่หลักคือ:

    • ย่อยอาหารที่ร่างกายย่อยเองไม่ได้ เช่น กากใย
    • ผลิตวิตามินสำคัญ เช่น วิตามิน B และ K
    • สร้างสารต้านการอักเสบ เช่น SCFAs (Short Chain Fatty Acids)
    • เสริมภูมิคุ้มกันและป้องกันลำไส้รั่ว
  • สร้างสารสื่อประสาทที่ดี ช่วยเรื่องอารมณ์ การนอน และการทำงานของสมอง

แต่ถ้า “สมดุลจุลินทรีย์” เสียไป (Dysbiosis) ผลที่ตามมาคือ การอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรค NCDs เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ และภูมิแพ้
(Tilg & Moschen, Gastroenterology, 2014)


โพรไบโอติกส์ช่วยอะไรบ้าง?

  1. ปรับสมดุลลำไส้ ลดอาการท้องผูก ท้องเสีย และ IBS
    โพรไบโอติกส์ช่วยคืนสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ทำให้การย่อยและดูดซึมอาหารเป็นปกติ ลดอาการแน่นท้อง ลำไส้แปรปรวน (IBS) และปัญหาการขับถ่าย (Ford et al., American Journal of Gastroenterology, 2014)
  2. เสริมภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงการติดเชื้อทางเดินหายใจ
    จุลินทรีย์ดีมีบทบาทในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มการสร้างแอนติบอดีและลดความถี่ในการเจ็บป่วย เช่น ไข้หวัดและการติดเชื้อทางเดินหายใจ (Hao et al., Cochrane Review, 2015)
  3. ลดการอักเสบในร่างกาย โดยกระตุ้นการสร้าง SCFAs
    โพรไบโอติกส์ช่วยผลิตกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) ซึ่งช่วยซ่อมแซมผนังลำไส้ ลดสารก่ออักเสบ และลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและโรคหัวใจ (Cani et al., Nature Rev Endocrinol, 2021)
  4. ช่วยเรื่องการนอนหลับ
    จุลินทรีย์ในลำไส้บางชนิด เช่น Lactobacillus และ Bifidobacterium มีบทบาทในการสร้างสารสื่อประสาทอย่างเซโรโทนิน (Serotonin) และเมลาโทนิน (Melatonin) ที่เกี่ยวข้องกับวงจรการนอนหลับ งานวิจัยพบว่าโพรไบโอติกส์ช่วยลดอาการนอนไม่หลับและเพิ่มคุณภาพการนอน (Foster et al., Nutritional Neuroscience, 2021)
  5. ลดไขมันในช่องท้องและตับ
    โพรไบโอติกส์บางสายพันธุ์ เช่น Lactobacillus gasseri และ Bifidobacterium breve มีผลในการลดไขมันสะสมบริเวณช่องท้องและลดการเกิดไขมันพอกตับ (Non-alcoholic fatty liver disease, NAFLD) (Kadooka et al., European Journal of Clinical Nutrition, 2010; Ma et al., Frontiers in Endocrinology, 2018)
  6. เพิ่มประโยชน์ของกรดไขมันสายสั้น (SCFAs)
    นอกจากช่วยสร้าง SCFAs อย่าง บิวทีเรต (Butyrate), อะซีเตต (Acetate) และ โพรพิโอเนต (Propionate) แล้ว โพรไบโอติกส์ยังช่วยเพิ่มการดูดซึมและประสิทธิภาพของ SCFAs ในร่างกาย เช่น:
    • Butyrate (บิวทีเรต): เป็นพลังงานหลักของเซลล์เยื่อบุลำไส้ ช่วยลดการอักเสบและฟื้นฟูเกราะป้องกันลำไส้ โดย Akkermansia มีส่วนช่วยเสริมการทำงานของ butyrate ทำให้ผนังลำไส้แข็งแรงขึ้น

    • Propionate (โพรพิโอเนต): ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด โดยมีงานวิจัยว่า Akkermansia เกี่ยวข้องกับการปรับสมดุลเมตาบอลิซึม ลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน

    • Acetate (อะซีเตต): มีส่วนช่วยควบคุมความอยากอาหารและการสะสมไขมัน โดย Akkermansia มีบทบาทในการส่งเสริมการสร้าง acetate และช่วยให้การจัดการพลังงานในร่างกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น

(อ้างอิง: Koh et al., Cell, 2016; Derrien et al., Nature Reviews Microbiology, 2017)

 

แล้วทำไมหลายคนกินแล้ว “ไม่เห็นผล”? สาเหตุหลัก ๆ คือ

  • ลำไส้ยังไม่พร้อม

บางคนอาจมีจุลินทรีย์ตัวร้ายมากจนมีอาการลำไส้รั่ว  หากทานโพรไบโอติกส์ที่มีชีวิตเข้าไป อาจกลายเป็นสิ่งแปลกปลอม ทำให้เกิดการอักเสบได้  ดังนั้นทางที่ดีควรตรวจจุลินทรีย์ในลำไส้ก่อนเพื่อดูว่าพร้อมจะรับโพรไบโอติกส์หรือไม่ สายพันธุ์ใดจึงจะเหมาะสม

    • เลือกสายพันธุ์ไม่ตรงปัญหา
      โพรไบโอติกส์แต่ละสายพันธุ์มีคุณสมบัติแตกต่างกัน เช่น บางสายพันธุ์เหมาะกับการเสริมภูมิคุ้มกัน ขณะที่บางสายพันธุ์ช่วยเรื่องขับถ่าย หากเลือกไม่ตรงจุดก็จะไม่เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการ
  • ไม่มี Prebiotics ทำให้จุลินทรีย์ดีอยู่รอดยาก

Prebiotics คืออาหารของโพรไบโอติกส์ หากขาดส่วนนี้ จุลินทรีย์ดีจะอยู่ได้ไม่นาน ทำให้ผลลัพธ์ไม่ยั่งยืน

  • ผลิตภัณฑ์ไม่มีเทคโนโลยีป้องกันกรดในกระเพาะ
    จุลินทรีย์ดีต้องผ่านสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดในกระเพาะก่อนถึงลำไส้ หากไม่มีการเคลือบป้องกัน โพรไบโอติกส์ส่วนใหญ่จะถูกทำลายก่อนถึงจุดหมาย ทำให้ไม่ได้ผล

วิธีเลือกโพรไบโอติกส์ที่ดีที่สุด (4 เช็คลิสต์)

  1. ดูสายพันธุ์ให้ตรงปัญหา (Strain-specific)

โดยศึกษางานวิจัยว่าสายพันธุ์นั้นๆทำหน้าที่ใด

  1. ปริมาณเพียงพอ (CFU)
    ควรมีปริมาณ CFU ตามที่พิสูจน์ทราบในงานวิจัยของสายพันธุ์นั้นๆ
  2. มี Prebiotics และ Postbiotics
    • Prebiotics: เช่น Inulin, FOS → อาหารของจุลินทรีย์ดี

    • Postbiotics: สารสำคัญที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นที่มีประโยชน์ต่อการทำงานของร่างกาย เช่นช่วยลดอักเสบและเสริมภูมิคุ้มกัน
      (Salminen et al., Nature Rev Gastroenterology, 2021)

  1. ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย
    เช่น GMP, อย. และการทดสอบในมนุษย์  และพัฒนาหรือคัดสรรโดยผู้เชี่ยวชาญจุลินทรีย์ในลำไส้มนุษย์

อยากกินโพรไบโอติกส์ให้ได้ผล ต้อง…

  • เลือกสายพันธุ์ที่ “ตรงปัญหา”

  • ปริมาณเพียงพอ + มี Pre- และ Postbiotics

  • ผลิตภัณฑ์มีมาตรฐาน และเทคโนโลยีส่งจุลินทรีย์ถึงลำไส้

อย่าแค่กินตามกระแส! ถ้าอยากได้ผลลัพธ์จริง เริ่มจาก รู้จักลำไส้ตัวเองก่อน
แนะนำตรวจ Gut Microbiome → รู้จุลินทรีย์ตัวไหนขาด  แล้วเลือกสูตรโพรไบโอติกส์ที่เหมาะกับคุณที่สุด