ตกเย็นมา ท้องป่องอย่างกับท้อง อย่าปล่อยทิ้งไว้ เสี่ยงปัญหาระบบทางเดินอาหาร

ท้องอืด

พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป อาจเป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้ร่างกายเจอกับปัญหาสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะ การทานอาหาร ความเครียด รวมถึงไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ บนความเร่งรีบ ทำให้หลายคนต้องพบเจอกับปัญหาความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร เมื่อร่างกายมีการทำงานที่ผิดปกติ ก็มักจะส่งสัญญาณเริ่มต้น เช่น อาการท้องเฟ้อ เรอ ผายลม แน่นท้อง หรือรู้สึกท้องป่อง ลมแน่นท้อง อาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แต่อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนโรคร้ายแรงมากขึ้น บทความนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ ผลเสียต่อร่างกาย รวมถึง แนวทางการจัดการปัญหาเหล่านี้อย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้กลายเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร

 

ท้องอืด ท้องเฟ้อ

ท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นอาการที่พบได้บ่อย ในทุกช่วง ทุกวัย บ่งบอกถึงภาวะ ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร อาหารไม่ย่อย หรือ Dyspepsia ส่งผลให้มีอาการ ปวดท้องบริเวณช่วงบน จุกเสียด ลมแน่นท้อง รู้สึกไม่สบายตัว อาการเหล่านี้มักจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ได้เอง แต่หลายคนก็อาจมีอาการเรื้อรัง จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนี้อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือน โรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้ 

สาเหตุสำคัญของอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มักถูกกระตุ้นได้จาก การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เช่น อาหารรสจัด,อาหารไขมันสูง ความเครียดในชีวิตประจำวัน หรืออาจเกิดได้จากโรคประจำตัวของแต่ละคน เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคไทรอยด์ เป็นต้น 

สำหรับประเด็นเรื่องทานอาหารแล้วท้องอืด หรือมีลมแน่นท้อง  อาจจะเกิดจากจุลินทรีย์ในลำไส้ที่มีปฏิกิริยากับอาหารบางอย่างแล้วสร้างก๊าซขึ้นมา  ดังนั้นการตรวจจุลินทรีย์ในลำไส้สามารถช่วยให้เราสามารถเลือกทานอาหารที่เหมาะสมกับตัวเราได้ และลดปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้ออย่างถาวร

 

ท้องอืด ท้องเฟ้อ ส่งผลเสียต่อร่างกาย อย่างไรบ้าง ? 

ท้องอืด ท้องเฟ้อ เป็นภาวะความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารเป็นหลัก ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้น บอกความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเหล่านี้ ได้

  1. โรคกรดไหลย้อน: มักมีอาการ แสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง เช่น การทานอาหารมัน ๆ เยอะเกินไป, การนอนทันทีหลังรับประทานอาหาร หรือ ความผิดปกติของกระเพาะอาหารที่ทำให้กรดไหลย้อน มาสู่หลอดอาหารมากขึ้น นอกจากนี้ภาวะความเครียด ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เกิด กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้นเช่นกัน 
  2. โรคกระเพาะทางเดินอาหารอักเสบ หรือ แผลในกระเพาะอาหาร: ผู้ป่วยที่มีปัญหาแผลในกระเพาะอาหารส่วนใหญ่ มักมีอาการเริ่มต้นมาจาก รู้สึกท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นท้อง มีลมในท้อง, ปวดแสบปวดร้อนบริเวณช่องท้องส่วนบน, ซีดและอ่อนเพลีย รวมทั้งมีอาการแบบเป็น ๆ หาย ๆ หากมีอาการเหล่านี้ควร ปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อ และรักษาอย่างถูกต้อง
  3. มะเร็งกระเพาะอาหาร: เป็นภัยร้ายที่แฝงตัวเงียบ ๆ เพราะแทบจะไม่มีอาการที่ชัดเจนในระยะเริ่มต้น แต่หากมีปัญหา ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อยเป็นประจำหลังรับประทานอาหาร ร่วมกับอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย แสบร้อนบริเวณหน้าอก หรืออุจจาระปนเลือด แนะนำให้ลองปรึกษาแพทย์ เพื่อรีบวินิจฉัยอย่างละเอียดอีกครั้ง

 

แนวทางการรักษา ปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ

หลัก ๆ แล้ว ปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ มักเกิดจากการสะสมลมในช่องท้องที่มากจนเกินไป ดังนั้นวิธีการรักษา ปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ ให้หายขาด อาจต้องเริ่มปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เหมาะสมมากขึ้น

  1. ทานอาหารให้ช้าลง ช่วยลดการเกิดแก๊สในช่องท้อง: เพราะการทานอาหารเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดการกลืมลมเข้าไปมากขึ้นจนทำให้เกิดลมในช่องท้องปริมาณมาก ส่งผลให้มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้
  2. เลี่ยงอาหารที่เสี่ยง เช่น คาร์โบไฮเดรตบางชนิด: อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตย่อยยากบางชนิด เช่น lactose ไฟเบอร์ไม่ละลายน้ำ หรือ มันฝรั่ง ข้าวสาลี หากรับประทานในปริมาณมากจนเกินไป อาหารเหล่านี้อาจถูกสะสมอยู่ในลำไส้ใหญ่ และอาจก่อให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารตามมาได้
  3. ตรวจจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยให้ทราบว่ามีจุลินทรีย์ที่สร้างก๊าซมากเกินไปหรือไม่ หากพบว่ามีแบคทีเรียที่สร้างก๊าซสูง การปรับอาหารให้เหมาะสม เช่น ลดอาหารที่เสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์เหล่านี้ จะช่วยลดปัญหาได้
  4. เสริมจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ดีต่อระบบทางเดินอาหารให้มากขึ้นด้วยการทานโพรไบโอติกส์จาก Modgut สูตร Balance & Harmony ที่มีส่วนประกอบสำคัญ เช่น Bacillus coagulans (BC198), Bifidobacterium lactis, Bifidobacterium longum, Lactobacillus acidophilus, และ Lactobacillus rhamnosus ซึ่งช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ได้อย่างดีเยี่ยม จุลินทรีย์เหล่านี้มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดแก๊สในลำไส้ ช่วยในการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร ลดปัญหาท้องอืด และเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังช่วยเกาะตัวบริเวณผนังลำไส้ เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบทางเดินอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับสมดุลลำไส้ ลดปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ และปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี
  5. หมั่นออกกำลังกาย ขยับร่างกายอย่างเป็นประจำ ลดปัญหาอาหารไม่ย่อย: การขยับออกกำลังกาย จะช่วยไล่ลมในท้อง ให้อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย เกิดการขยับตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กระเพาะ ลำไส้ ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด ภาวะท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้เป็นอย่างดี แต่การออกกำลังกายที่เหมาะสม แนะนำให้เลือกออกหลังทานอาหารประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้กระทบกับระบบย่อยอาหาร 
  6. กระตุ้นระบบขับถ่ายให้เป็นประจำ ลดการสะสมของแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดแก๊สในลำไส้: การไม่ขับถ่ายอย่างเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายเกิดการสะสมของเสียไว้ในปริมาณมาก ซึ่งของเสียเหล่านั้นก็มักจะทำให้เกิดแบคทีเรีย ที่เป็นต้นเหตุในการสะสมแก๊สในช่องมากขึ้น 

 

ปัญหาท้องอืด ท้องเฟ้อ อาจจะดูเป็นปัญหาเล็ก ๆ แต่หากปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจจะพัฒนากลายเป็นปัญหาที่ส่งผลต่อระบบทางเดินอาหารในระยะยาวได้ ดังนั้นการเริ่มต้นดูแลตัวเองเพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ก็จะสามารถช่วยรักษาสุขภาพของร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงมากขึ้น นอกจากนี้หากใครมีอาการท้องอืด แบบไม่ทราบสาเหตุ หรือมีอาการแทรกซ้อนอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดท้องรุนแรง ท้องบวม ขับถ่ายผิดปกติ หรือ มีน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว แนะนำให้รีบพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ และรักษาได้อย่างตรงจุดมากขึ้น

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save